วัดพระยืนพุทธบาทยุคล
อยู่เลยวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งไปตามทางหลวงหมายเลข
102 ประมาณ 500 เมตร วัดอยู่ทางซ้ายมือของถนนใกล้ทางแยก
ภายในมีมณฑปเป็นศิลปะแบบเชียงแสน
ครอบรอยพระพุทธบาทคู่ที่ประดิษฐานบนฐานดอกบัวสูงประมาณ 1.5 เมตร ที่วัดพระยืนพุทธบาทยุคลนี้
ยังมีพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยเรียกกันว่า
หลวงพ่อพุทธรังสี เดิมประดิษฐานอยู่ในมณฑปมีปูนพอกหุ้มไว้ทั้งองค์
ต่อมาได้กระเทาะปูนออกและนำไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถที่สร้างใหม่
วัดพระแทนศิลาอาสน์
ตั้งอยู่บ้านพระแท่น
ตำบลทุ่งยั้ง อยู่เลยวัดพระยืนไปเล็กน้อย วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
มีพระแท่นศิลาอาสน์เป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ฐานของพระแท่นโดยรอบประดับด้วยลายกลีบบัว
มีตำนานว่าพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์เคยเสด็จมาจำศีลบำเพ็ญพุทธบารมี ณ
ที่แห่งนี้ ต่อมาจึงมีการสร้างพระแท่นศิลาอาสน์ขึ้น
บานประตูวิหารพระแท่นศิลาอาสน์ที่เป็นไม้สักแกะสลักนั้น
เดิมเคยเป็นบานประตูวิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร
จังหวัดพิษณุโลกมาก่อน นอกจากนั้นภายในบริเวณวัดมีพิพิธภัณฑ์ที่เดิมเป็นศาลาการเปรียญ
สร้างด้วยไม้ มี 2 ชั้น ชั้นล่าง เป็นที่แสดงเครื่องมือจับสัตว์น้ำโบราณ
เรือพายโบราณ ชั้นบน แสดงเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตชาววัง - ชาวบ้านสมัยก่อน
เครื่องจักสาน เครื่องมือตีเหล็ก - ก่อสร้าง เครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย
ธรรมาสน์โบราณฝีมือช่างสมัยอยุธยา พระพุทธรูปที่แกะจากต้นโพธิ์โบราณ
และพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา รวมถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวเหนือ
พิพิธภัณฑ์นี้เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น.
พระแท่นศิลาอาสน์เป็นพุทธเจดีย์
เช่นเดียวกับพระแท่นดงรัง เป็นที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งห้าพระองค์ในภัทรกัปนี้ ได้เสด็จและจะได้เสด็จมาประทับนั่งบนพระแท่นแห่งนี้
เพื่อเจริญภาวนา และได้ประทับยับยั้งในเวลาที่ตรัสรู้แล้ว เพื่อโปรดสัตว์
ซึ่งแสดงว่าพระแท่นศิลาอาสน์นี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างต่อเนื่อง
ในพระพุทธศาสนามายาวนาน ตัวพระแท่นเป็นศิลาแลง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ขนาดกว้าง 8 ฟุต ยาวประมาณ 10 ฟุต สูง 3 ฟุต
ที่ฐานพระแท่นประดับด้วยลายกลีบบัวโดยรอบ มีพระมณฑปครอบ
อยู่ภายในพระวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า
พระแท่นศิลาอาสน์อาจมีมาก่อนแล้วช้านาน ก่อนที่พระเจ้าบรมโกศเสด็จไปบูชา
เพราะพระแท่นศิลาอาสน์อยู่ริมเมืองทุ่งยั้งซึ่งตั้งมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัย
และบางทีชื่อทุ่งยั้งนั้นเอง จะเป็นนิมิตให้เกิดมีพระแท่น
เป็นที่พระพุทธเจ้าประทับยับยั้ง เมื่อเสด็จผ่านมาทางนั้น
ในทางตำนานมีคติที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จยังประเทศต่าง ๆ
ภายนอกอินเดียด้วยอิทธิฤทธิ์ฌานสมาบัติ และได้ประดิษฐานเจดีย์
หรือตรัสพยากรณ์อะไรไว้ในประเทศเหล่านั้น เป็นคติที่เกิดในลังกาทวีป
และประเทศอื่นได้รับเอาไปเชื่อถือด้วย จึงเกิดมีเจดีย์วัตถุและพุทธพยาการณ์
ที่อ้างว่าพระพุทธองค์ได้ทรงประดิษฐานเจดีย์ไว้ มากบ้าง น้อยบ้างทุกประเทศ
เฉพาะเมืองไทย มีปรากฏในพงศาวดารโดยลำดับมาว่า พบรอยพระพุทธบาท ณ
ไหล่เขาสุวรรณบรรพต เมื่อรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม
รัชกาลพระเจ้าเสือได้เสด็จไปบูชาพระพุทธฉาย ณ เขาปัถวี และพระเจ้าบรมโกศ
เสด็จไปบูชาพระแท่นศิลาอาสน์
บานประตูวัดพระแท่นศิลาอาสน์บานเก่า
ปัจจุบันได้ถูกไฟไหม้ไปหมดแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2451มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า
นายช่างที่สร้างวิหาร วัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระฝาง และวัดสุทัศน์
เป็นนายช่างคนเดียวกัน บานประตูเก่าของพระวิหารเป็นไม้แกะสลักฝีมือดี
แกะไม้ออกมาเด่น เป็นลายซ้อนกันหลายชั้น แม่ลายเป็นก้านขด ปลายเป็นรูปภาพต่าง ๆ
เป็นลายเดียวกับลายบานมุขที่วิหารพระพุทธชินราช อาจสร้างแต่ครั้ง
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระเจ้าบรมโกศ ทรงมีพระราชศรัทธา
ให้ทำประตูมุขตามลายเดิมถวายแทน
แล้วโปรดให้เอาบานเดิมนั้นไปใช้เป็นบานวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์
ประตูวิหารเก่าบานดังกล่าวได้ถูกไฟไหม้ไปเมื่อ วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2451
เป็นไฟป่าลุกลามไหม้เข้ามาถึงวัด ไฟไหม้ครั้งนั้น
เหลือกุฏิซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักรอยู่เพียงหลังเดียว ต่อมาพระยาวโรดมภักดี
เจ้าเมืองอุตรดิตถ์ ได้เรี่ยไรเงินสร้างและซ่อมแซมวิหาร
ภายในวิหารมีซุ้มมณฑปครอบพระแท่นศิลาอาสน์ไว้
งานเทศกาลนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์
ประเพณีการทำบุญไหว้พระแท่นศิลาอาสน์มีมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว
มีผู้มาสักการะบูชาทั้งในเทศกาลและนอกเทศกาลตลอดปี พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อว่า
การได้มาสักการะบูชาพระแท่นศิลาอาสน์ จะได้รับอานิสงส์สูงสุด
และเช่นเดียวกับพระพุทธบาทสระบุรี พุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธา
จะขวนขวายมานมัสการให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต ด้วยเหตุนี้
ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ตอนเหนือจังหวัดอุตรดิตถ์ จะพยายามเดินทางมานมัสการ
พระแท่นศิลาอาสน์ แม้ว่าหนทางจะทุรกันดารเพียงใดก็ไม่ย่อท้อถอย และเห็นว่า
เป็นการได้สร้างบุญกุศลที่มีค่าควร
การมานมัสการจะกระทำทุกครั้งที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันมาฆบูชา ณ วันเพ็ญ เดือนสาม
งานเทศกาลนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ณ วันเพ็ญ
เดือนสาม อันเป็นวันมาฆบูชา จะเริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 8 ค่ำ ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ
เดือนสาม บรรดาพระภิกษุสงฆ์จะธุดงค์มาปักกลดพักแรมที่บริเวณใกล้วัด
เมื่อถึงวันมาฆบูชา เวลาประมาณ 19.30 น. พระภิกษุสงฆ์จะเข้าไปในพระวิหาร
แล้วสวดพระพุทธมนต์ มีพระธรรมจักรกัปปวัตตสูตร เป็นต้น เมื่อเสร็จพิธีแล้ว
ก็ออกมาให้ศีลให้พรแก่ผู้ที่มานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์
ในตอนเช้าของทุกวันในระหว่างเทศกาล บรรดาพระสงฆ์ที่ธุดงค์มานมัสการ
พระแท่นศิลาอาสน์ จะเดินทางเข้าไปบิณฑบาตรตามหมู่บ้าน
และบรรดาชาวบ้านจะนำอาหารมาถวายที่วัดอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อพระฉันอาหารเสร็จแล้ว
ชาวบ้านก็จะแบ่งปันอาหารร่วมรับประทานด้วยกัน
รวมทั้งผู้ที่เดินทางมานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ด้วย
นับว่าเป็นการทำบุญกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี
เนื่องจากพระบรมธาตุทุ่งยั้ง
และวัดพระยืนพุทธบาทยุคล มีอาณาบริเวณอยู่ติดต่อกัน
จึงจัดงานประจำปีพร้อมกันกับวัดพระแท่นศิลาอาสน์ เป็นเวลา 8 วัน 8 คืน
ทำให้พุทธศาสนิกชนที่มาในงานเทศกาลนี้ได้ นมัสการพระบรมธาตุ และพระพุทธบาทด้วย
เป็นการได้นมัสการพระพุทธเจดียสถาน อันเป็นที่เคารพสักการะ
ได้ครบถ้วนในโอกาสเดียวกัน ยากจะหาที่ใดเสมอเหมือน
หนองพระแล
อยู่ที่บ้านหนองพระแล ตำบลทุ่งยั้ง
ห่างจากตัวจังหวัด 13 กม. ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1041
เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ
พระศรีพนมมาศ (ทองอิน แซ่ตัน) (2404 - 12
มีนาคม 2465) (นามเดิม: ทองอิน แซ่ตัน)
อดีตนายอำเภอลับแลในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ท่านได้สร้างความเจริญให้แก่อำเภอลับแลเป็นอย่างมาก เช่น เป็นผู้วางผังเมืองลับแล
สร้างฝายหลวง พัฒนาการศึกษา รวมทั้งส่งเสริมการเกษตร
เป็นบุคคลที่คนอำเภอลับแลให้ความเคารพนับถือสืบมาจนกระทั่งปัจจุบัน
วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง

อยู่ที่หมู่ 3 บ้านทุ่งยั้ง
ตำบลทุ่งยั้ง จากตัวเมืองอุตรดิตถ์ไปตามทางหลวงหมายเลข 102 ประมาณ
3 กิโลเมตร จะมองเห็นวัดอยู่ทางซ้ายมือ
วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่มีตำนานเกี่ยวพันกับอีก 2 วัด
ที่อยู่ใกล้เคียงกัน คือ วัดพระยืนพุทธบาทยุคล และวัดพระแท่นศิลาอาสน์ เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า
วัดแห่งนี้เดิมชื่อ วัดมหาธาตุ ประกอบด้วยวิหารแบบล้านนาซึ่งอยู่ด้านหน้า
ถัดไปเป็นพระบรมธาตุทุ่งยั้งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
เป็นเจดีย์เก่าแก่แบบลังกาทรงกลมฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม 3 ชั้น
ฐานล่างมีเจดีย์องค์เล็กๆ เป็นบริวารอยู่ 4 มุม
ฐานชั้นที่ 3 มีซุ้มคูหา 4 ด้าน
สันนิษฐานว่าได้บูรณะขึ้นภายหลัง
วัดดอนสัก
อยู่ที่หมู่ 6 บ้านต้นม่วง ตำบลบ้านฝาย
ห่างจากจังหวัด 9กม. ตามทางหลวงหมายเลข 1041 มีวิหารที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา
มีบานประตูแกะสลักงดงาม ด้านหน้า 1 ประตู ด้านหลัง 2
ประตูแกะสลักด้วยไม้ปรูลึกลงไปประมาณ 4 นิ้ว เป็นลวดลายกนกก้านขดไขว้
ประกอบด้วยรูปหงส์ เทพนมและยักษ์ วัดนี้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
สถานที่ประดิษฐาน
ความสำคัญ บานประตูไม้จำหลักโบราณ
แสดงถึงชั้นเชิงในฝีมือช่างไม้ของคนในสมัยอยุธยาที่หาชมได้ยาก และได้รับการยกย่องว่าเป็นคู่บานประตูไม้จำหลักโบราณที่มีความสวยงามคู่หนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ บานประตูวิหารวัดดอนสัก หรือ บานประตูวัดดอนสัก
ตั้งอยู่ที่วัดดอนสัก หมู่ 3 บ้านฝายหลวง อำเภอลับแล ห่างจากตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ 9
กิโลเมตรเศษ เป็นคู่บานประตูไม้จำหลักโบราณสมัยอยุธยาที่มีความสวยงามคู่หนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์
และเป็นบานประตูพุทธศาสนสถานที่มีความสวยงามมากที่สุด 1 ใน 3
คู่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ คือ บานประตูวิหารวัดพระฝาง, บานประตูพระวิหารวัดพระแท่นศิลาอาสน์
และบานประตูวิหารวัดดอนสัก โดยประตูวัดดอนสักนี้เป็น 1 ใน 2 คู่
บานประตูสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
ความสำคัญ
บานประตูวัดดอนสัก
สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลวดลายสวยงาม
ติดตั้งเป็นบานประตูสำหรับวิหารวัดดอนสักสถาปัตยกรรมเชียงแสนปนสุโขทัย
ตัวเสาประตูเป็นลายกนกใบเทศสลับลายกนกก้ามปู บานประตูเป็นไม้แกะสลักทั้งบาน
รูปลายกนกก้านขด มีรูปสัตว์หิมพานต์แทรกอยู่ในลวดลายกนกต่าง ๆ
มีความอ่อนช้อยสวยงาม โดยบานซ้ายและขวานั้นไม่เหมือนกัน
แต่เมื่อปิดบานแล้วลวดลายมีความลงตัวเข้ากันได้สนิท
วัดเจดีย์คีรีวิหาร
วัดเจดีย์คีรีวิหาร เดิมมีชื่อว่าวัดป่าแก้ว
สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1519
สร้างขึ้นโดยเจ้าฟ้าฮ่ามกุมารปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครลับแลทูลขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากพระมหาชินธาตุเจ้า
(พระธาตุดอยตุง) จังหวัดเชียงราย และสร้างเจดีย์ขึ้น
อัญเชิญมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น
โดยเจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์แห่งแรก ในอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (ปัจจุบันกรมศิลปากร
สังกัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณสถาน)
และในกาลเวลาต่อมานานนับพันปีเจดีย์แห่งนี้ก็ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา
แต่ปัจจุบันเจดีย์แห่งนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมเจดีย์จนอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ
อนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร
อยู่ที่ หมู่ 7 บ้านท้องลับแล
ตำบลฝายหลวงอยู่ห่างจากตัวจังหวัด 12 กม. จากอำเภอลับแลใช้ทางหลวงหมายเลข 1043
เป็นอนุสาวรีย์ของปฐมผู้ครองเมืองลับแล บนเนินเขาด้านหลัง
อนุสาวรีย์มีทางขึ้นไปยังจุดชมวิวมองเห็นภูมิประเทศของเมืองลับแล
น้ำตกแม่พูล
อยู่ที่หมู่ 4 บ้านต้นเกลือ ตำบลแม่พูล
ห่างจากตัวจังหวัด 20 กม. จากอำเภอลับแล ใช้ทางหลวง หมายเลข 1041-1043
เป็นน้ำตกที่เกิดจากการตกแต่งธารน้ำ โดยการเทปูนมีความสูงหลายชั้น
มีลักษณะเป็นฝายน้ำล้น เป็นชั้นๆ สภาพโดยรอบร่มรื่น มีธรรมชาติแวดล้อมสวยงาม
และมีศาลา สำหรับนั่งพักผ่อนชมทิวทัศน์น้ำตกแม่พูลได้อย่างชัดเจน
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้ตัวเมืองและมีถนนเข้าถึงอย่างสะดวกสบายมาก
เวียงเจ้าเงาะ
ชาวบ้านเล่ากันว่า
เจ้าเงาะได้พานางรจนามาอยู่ที่กระท่อมปลายนาที่นี่เมื่อครั้งที่ถูกท้าวสามลและนางมณฑาเนรเทศ
จึงเรียกว่า เวียงเจ้าเงาะ แต่ความจริงแล้ว เวียงเจ้าเงาะ หรือเมืองทุ่งยั้งนี้
เป็นเมืองเก่าแก่ก่อนที่ชนชาติไทยจะมาปกครองประเทศ
และได้มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุต่างๆ เช่น มโหระทึกละว้า พร้าสัมฤทธิ์ เป็นต้น